มนุษย์ได้เหินห่างจากพระเจ้า
    
นักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนหลายบทแล้ว  
เมื่อมาถึงแค่นี้ท่านคงยอมรับว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง ๆ 
ถ้านักศึกษาไม่ปิดใจของท่าน  ท่านก็คงจะพบความจริงอันกระจ่างแจ้งมากขึ้น  
เวลาที่ท่านเสียไปในการศึกษาบทเรียนท่านจะได้รับผลคุ้มค่า  เพราะในการศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ท่านจะพบหนทางกลับไปหาพระเจ้าที่แท้จริงได้  
ประวัติศาสตร์จะเผยให้เห็นความเป็นไปในอดีตของมนุษย์  
ถ้าสามารถทำได้เราจะเอาประวัติศาสตร์ของชนทุกชาติมารวมกันเข้า  
ถ้าเราทำได้เช่นนั้นเราจะสามารถเห็นความสัมพันธ์ติดต่อเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิดของชนแต่ละชาติในสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี   
เมื่อยิ่งมองลึกซึ้งเข้าไปอีกเราจะพบว่ามนุษย์ทุกชาติเป็นพี่น้องกันและมาจากที่เดียวกัน  
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สนับสนุนความจริงข้อนี้ไว้นานแล้ว  โดยนายแพทย์ลูกา 
เมื่อ ค.ศ. 67 ในกิจการ 17.26-27 
"พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกประเทศสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก 
และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนที่อยู่ให้เขา  เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า 
และหากเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์ ด้วยพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย"
    
โบราณคดีก็ได้สนับสนุนความจริงข้อนี้ด้วย  แม้ชนชาติไทยเราเองก็เหมือนกัน  
เราเคยมีการติดต่อกับชาวเอเซียด้วยกันในสมัยโบราณ  แท้จริงชาวเอเซียก็เป็นพี่น้องกัน  
ถ้าเราจะหวนกลับไปมองดูในอดีตเรารู้ได้อย่างแน่ชัด  ชนชาติไทยมีถิ่นฐานอยู่ที่เอเซียน้อย  
แถวบริเวณทะเลสาบคัสเบียนในตอนนั้นคนไทยเป็นชนกลุ่มน้อย
    
ในสมัยโบราณชนชาติต่าง ๆ ขาดการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด  
ประเทศที่อยู่ใกล้กันก็มีการติดต่อไปมาหาสู่กัน  
ชนในประเทศจึงมีความรู้เรื่องประเทศอื่น ๆ ไม่กว้างขวางนัก  
เว้นไว้แต่ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกัน  
การคมนาคมและการสื่อสารในสมัยโบราณก็อยู่ในวงจำกัด  
ต้องใช้ม้าเป็นพาหนะเพื่อเดินทางไปไกล ๆ  
บางประเทศที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงส่วนมากขาดการติดต่อกับประเทศอื่น  
ต่อมาในสมัยกลาง  สมัยล่าเมืองขึ้น  
การคมนาคมเริ่มขยายกว้างขึ้นจนกระทั่งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2  
บทบาทในสงครามได้เผยประเทศหลายประเทศออกสู่สายตาของคนทั่วโลก  ประเทศต่าง ๆ 
เหล่านี้ซึ่งดูเหมือนหายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ก็ได้คลี่คลายให้ชนทุกชาติเห็นว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ทุกประเทศมาจากแหล่งที่เดียวกัน  
และพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์  ประวัติศาสตร์สากลเป็นความจริงและเชื่อถือได้  
แต่มิได้เปิดเผยความเป็นไปของมนุษย์ชาติอย่างละเอียดเท่ากับพระคริสตธรรมคัมภีร์  
ประวัติศาสตร์ที่เราอ่านพบในหนังสือสารานุกรมหรือในหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไป 
ได้เผยรายละเอียดเริ่มตั้งแต่อารยธรรมของพวกบาบิโลนและพวกซุมเมอร์เรียน  
ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำยูเฟรติศและลุ่มแม่น้ำไทกริศ  เมื่อก่อนคริสตศักราช 
3,100 ปี  ประวัติศาสตร์สากลตอนนี้สนับสนุนประวัติศาสตร์ของพระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างดี  
แต่ถ้าเราประวัติศาสตร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ย้อนหลังจากปีก่อนคริสตศักราช 3,100 
ปีขึ้นบวกเข้ากับประวัติศาสตร์สากล  
เราจะได้เห็นภาพแห่งความเป็นมาของมนุษย์ชาติอย่างครบครัน
ประวัติศาสตร์ของพระคริสตธรรมคัมภีร์พอสังเขป
    ในเยเนซิศ 
บทที่ 1.27  เราพบว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ชายหญิงให้อยู่ในสวนเอเดน  
ตามหลักฐานของพระคัมภีร์กล่าวว่า สวนเอเดนตั้งอยู่ตรงฝั่งแม่น้ำยูเฟรติศกับไทกริศ (เยเนซิศ 
2.10-14)  นับได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางแห่งอารยธรรมของมนุษย์โลก (ดูภาพแผนที่)
    
นักชาติพันธุ์วิทยาโดยทั่วไปเห็นพ้องกันว่า  บริเวณแม่น้ำยูเฟรติศกับไทกริศเป็นถิ่นกำเนิดเดิมของมนุษย์ชาติทั้งสิ้นในปัจจุบัน  
เป็นบริเวณที่ได้มาซึ่ง วัว, แพะ, แกะ, ม้า, หมู, สุนัข และสัตว์อื่น ๆ  
พระคัมภีร์ได้แสดงว่ามนุษย์ชาติเริ่มต้นด้วยความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  
และได้เผยให้เห็นว่าในเวลาต่อมามนุษย์ได้ผันแปรไปนมัสการรูปปั้น  
และนับถือเทพเจ้าต่าง ๆ ตามความคิดของเขา
    
การผันแปรไปจากพระเจ้าเที่ยงแท้นั้น เป็นการเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย  
เมื่อมนุษย์กระจัดกระจายไปจากถิ่นที่อยู่อาศัยเดิม  
ก็ได้ละทิ้งการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ไปเสียด้วย  
หลายร้อยปีมนุษย์ก็ยิ่งไกลจากพระเจ้ามากขึ้น 
ในที่สุดมนุษย์ก็ได้ตั้งลัทธิศาสนาของตนเองขึ้นแทนการนมัสการพระเจ้า  ดร.สเตฟ 
เฟนแลงก์ดอน  แห่งมหาวิทยาอ๊อกซฟอร์ดได้พบคำจารึกเก่าแก่ที่สุดของบาบิโลนแนะให้ทราบว่า 
"ศาสนาแรกของมนุษย์โลกคือเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว 
ต่อจากนั้นก็เกิดการเสื่อมขึ้นอย่างรวดเร็วไปเชื่อพระเจ้าหลายองค์และปั้นรูปเคารพขึ้นสักการบูชา 
(ดู "โบราณนิยายว่าด้วยชนเผ่า เซม และสนามพิพิธภัณฑ์แห่งมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด 
ทำการสำรวจเมืองคิซ" เขียนโดย ดร.สเตฟ แลงก์ดอน และ เฮนรี ฟิลด์ แผ่นที่ 28)
    ในเยเนซิศบทที่ 
3 โดยการทรงนำของพระเจ้า  
โมเซได้บันทึกให้เราทราบว่ามนุษย์ได้ละเมิดคำตรัสสั่งของพระเจ้า  
การละเมิดก็คือการกระทำบาปนั่นเอง  
พระเจ้าได้ทรงขับไล่มนุษย์ชายหญิงออกไปจากสวนเอเดน  
จากนั้นมนุษย์ก็ต้องทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพจนกว่าเขาจะกลับเป็นดินตามเดิม  
ชายหญิงคือ อาดามและฮาวาได้สมสู่และได้เกิดบุตรชายหญิงด้วยกันหลายคน  เยเนซิศ 
5.4 "ตั้งแต่อาดามถึงบุตรคือเซธแล้ว ก็มีอายุยืนไปได้อีกแปดร้อยปี  
มีบุตรชายหญิงหลายคน" มนุษย์จึงได้ทวีขึ้นบนแผ่นดิน
ตำนานสนับสนุนเรื่องการพลาดล้มของมนุษย์
    
ตำนานของเปอร์เซียว่าบิดามารดาคู่แรกของเราเป็นผู้บริสุทธิ์ 
ในสมัยนั้นมีต้นไม้ที่ให้อายุยืนตลอดเป็นนิตย์  ต่อมามีวิญญาณชั่วมาปรากฏ 
(ต้นไม้นั้นก็หมดกัน)  พวกเปอร์เซียคงจะได้รับเรื่องนี้เป็นมรกดตกทอดมาจากยาเฟ็ธ
    
ตำนานของชาวฮินดูว่า  ในยุคแรกมนุษย์ปราศจากความชั่วและโรคภัยไข้เจ็บ  
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องประสงค์  และมีอายุยืนนาน
    
ตำนานของกรีกว่า  มนุษย์คู่แรกในยุคทองไม่มีการนุ่งห่มกัน  
ปราศจากความชั่วและความลำบาก  มีความสัมพันธ์กับพระทั้งหลายไม่มีขีดคั่น  
และแผ่นดินโลกก็ผลิตออกมาเป็นปริมาณทวี
    ตำนานจีนว่า  
มีตำนานของยุคความสุขสำราญ  
เวลานั้นมนุษย์มีอาหารอุดมสมบูรณ์ล้อมรอบไปด้วยบรรดาสัตว์เชื่อง
    
ตำนานของชาวมองโกเลียและธิเบต มีตำนานคล้าย ๆ กัน (จากหนังสือ คู่มือพระคัมภีร์ โดย 
เฮนรี่ เอช ฮาร์เล่ย์ หน้า 107)
    
เรื่องตำนานของมนุษย์โลกคงจะได้รับความรู้เล่าตกทอดกันมา  
และเมื่อเวลาผ่านไปข้อผิดพลาดก็มีมากขึ้น  
แม้กระนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยไว้เพื่อเป็นแนวทาให้ทราบว่า 
เรื่องกำเนิดของมนุษย์โลกเป็นเรื่องจริง
    ในเยเนซิศบทที่ 
6  ต่อมาในปี 4000 ก.ค.ศ.  
เราพบว่าอำนาจใฝ่ต่ำคือซาตานได้ชักจูงให้มนุษย์เหินห่างออกจากพระเจ้าไกลต่อไปอีก  
พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่าชนเหล่านั้นมีจิตใจชั่วลามกทำตามใจของตนเอง  
ในบรรดาชนทั้งหลายมีครอบครัวชอบธรรมเพียงครอบครัวเดียวคือ ครอบครัวของโนฮา  
อ่านเยเนซิศ 6.5-8 "พระยะโฮวาทรงเห็นมนุษย์กระทำความชั่วมากทวีขึ้นบนแผ่นดิน 
และทรงเห็นว่าความคิดนึกในใจของเขาล้วนเป็นความชั่วเสมอไป  
พระองค์จึงทรงกลับหวนพระทัยโทมนัส ถึงการที่ได้สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน  
จึงตรัสว่า เราจะทำลายมนุษย์ที่เราได้สร้างไว้ให้ศูนย์สิ้นไปจากแผ่นดิน 
ทั้งมนุษย์และสัตว์กับสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานและนกที่อากาศด้วย 
เพราะว่าเราเสียดายในการที่เราได้สร้างมนุษย์ไว้นั้น  
แต่โนฮาเป็นที่โปรดปรานในคลองพระเนตรพระยะโฮวา"
    
พระเจ้าได้ตรัสสั่งให้โนฮาต่อเรือใหญ่  
และในขณะที่โนฮาต่อเรือใหญ่ก็ใช้เวลาป่าวประกาศให้ชนทั้งหลายกลับใจจากทางอันชั่วช้าของเขาไปด้วย  
เป็นเวลาประมาณ 120 ปีที่โนฮาออกไปประกาศเพื่อให้มนุษย์กลับใจเสียใหม่  
แต่ไม่มีใครกลับใจจากการกระทำบาปนอกจากครอบครัวของเขาเพียง 8 คนเท่านั้น
    
ในที่สุดพระเจ้าก็ได้บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน  
ทำให้น้ำท่วมทั้งโลก  เป็นเหตุให้มนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ถึงความพินาศ  
เว้นไว้แต่ครอบครัวของโนฮาและบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในเรือของโนฮา  
เมื่อน้ำลดแล้วเรือของโนฮาก็ได้มาเกยอยู่ที่ภูเขาอาระราด  
ลูกชายทั้งสามของโนฮา  คือ เซม, ฮาม และยาเฟ็ธ  
ได้รักษาพงศ์พันธ์ของมนุษย์โลกเอาไว้จนถึงปัจจุบันนี้
    
มีรายงานว่าได้พบนาวาของโนฮา ก่อนการปฏิวัติของพวกบอลเชวิคเพียงเล็กน้อยได้มีการเผยแพร่เอกสารจำนวนหนึ่งประกาศว่านักบินชาวรัสเซียพวกหนึ่งอ้างว่าได้เห็นรูปทรงของเรือใหญ่มหึมาค้างอยู่ในป่าทึบสูงที่เข้าไปถึงบริเวณเทือกเขาอะราราด  
เขาได้รายงานให้รัฐบายรัสเซียทราบ  กษัตริย์ได้ส่งคนไปสำรวจและก็ได้พบเรือ  
ได้วัดขนาด  ได้เขียนรูป  ได้ถ่ายรูปเอาไว้  
แต่แล้วรัฐบาลก็ต้องล้มไปโดยการปฏิวัติของพวกบอลเชวิคที่ไม่เชื่อถือพระเจ้า  
ผลของรายงานนี้จึงไม่ได้ออกมาสู่โลก  เราหวังใจว่าเราคงจะมีการสำรวจอีกต่อไป
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1hwW8fe2PN3ntDC4HNlgaPUUBKBy7rfB1-C-dJ-hY61I/viewform
